วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2553

สวัสดีปีใหม่

เมื่อวันที่ 31 น้องตั้มโทรมาหา ชวนไปสังสรรค์ ... สิ่งที่น้องตั้มได้กลับไป คือ คำว่า นี่ใครคะ
เรารู้จักตั้มมาหลายปี ตั้มมีฐานะเป็นรุ่นน้องที่ลาดกระบัง อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ของตุ๊กตาในการสอน 3D MAX
แชทกันวันเว้นวัน บางวันติดกันก็มี นี่ยังไม่นับตอนกินเหล้ากินเบียร์ หรือแวะไปหาที่คณะอีกด้วย

สรุปว่า เรากับตั้ม ค่อนข้างชิดใกล้กัน

สิ่งหนึ่งที่เสมอต้นเสมอปลายมาตลอด จนถึงวันนี้ ก็ตาม .... เรา ไม่เคยเมมเบอร์ตั้มเลย และจำไม่ได้ด้วย!

.
.
.

เราบอกแม่ว่า หนูไม่ชอบให้แม่มายุ่งกับชีวิตหนู แม้แต่แตะเนื้อต้องตัว หนูก็ไม่ชอบ
เราโกหกใหม่ว่า ติดงาน ในวันเกิดใหม่ ความจริงแล้ว แค่อยากนอน
เราเบี้ยวนัดน้องโอ๊ต ที่นัดกันดูหนัง ซื้อตั๋วแล้วด้วย แต่ก็ไม่ไปเฉยเลย
เราคิดเงินผิด อมเงินลูกค้าไปสิบบาท ไม่วิ่งไปคืนเค้าด้วย
เราทำไวรัสไปติดในโน๊ตบุ๊คพี่ทอม จนต้องฟอร์แมทเครื่องใหม่
เราดุน้องกานต์เรื่องลืมลงทะเบียนขายของ จนน้องกานต์สะเทือนอารมณ์
เราแซวน้องรี่เรื่องกางเกงในยางตาย แถมยังเล่าให้คนอื่นฟังเสียอย่างนั้น
เราทำโน๊ตบุ๊คน้องคิ้มตกพื้น แล้วอมพะนำไว้
เราลืมเอาตุ๊กตาไปให้ปอยดอในวันคริสมาสต์ที่ผ่านมา
เรานั่งเก้าอี้ทีสิสน้องจุ๊ย ที่แปะป้ายไว้ว่า ห้ามนั่ง เก้าอี้หัก
เราลืมส่งหนังสือให้พี่วิภว์ เพิ่งนึกได้เมื่อกี๊เลย
เราไปนครปฐมคนเดียวโดยไม่บอกใครเลย ทั้งที่ไปไม่เป็น และแม่เป็นห่วงมาก
เราเตะน้ำหกใส่กางเกงแม่ แล้วบอกว่าตุ๊กตาทำ
เราแอบชอบคนมีแฟนแล้ว และแอบแช่งให้แม่งเลิกกัน
และแน่นอน เราไม่เคยเมมเบอร์น้องตั้มเลย

.
.
.

ปีที่ผ่านมา เราได้ทำเรื่องผิดพลาดมากมาย ... พอๆกับการได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องก็หลายอย่าง
ถึงจำได้ไม่หมด ทั้งสิ่งที่ถูกและสิ่งที่ผิด แต่ไม่เคยลืมว่าตัวเองควรทำอะไรต่อไป เมื่อเกิดความผิดพลาด

บางทีการใส่ใจให้มากกว่านี้ อาจทำให้ผิดพลาดน้อยลง
บางทีการมองในแง่ดีให้มากกว่านี้ อาจทำให้รู้จักความหวังดี
บางทีการมองในแง่ร้ายบ้าง อาจทำให้รู้จักระวังตัว
บางทีการเปิดใจให้กว้างขึ้น อาจทำให้ยอมรับอะไรมากขึ้นด้วย
บางทีการกล้าเผชิญความจริง อาจทำให้ไม่ต้องวิ่งหนีตลอดไป
บางทีการให้คนอื่นได้มากกว่า อาจทำให้รู้ว่าพอแล้วของตัวเองเป็นยังไง

จะเก็บคำขอบคุณไว้ใช้ในวันเกิด

สำหรับปีใหม่ ... เราขอโทษ สำหรับทุกสิ่ง ในปีที่ผ่านมา

โดยเฉพาะแม่ หนูขอโทษจริงๆนะ

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มนุษย์เพื่อนน้อย

จากวัย 26 ปีที่ผ่านมา ... ฉันเพิ่งตรัสรู้นึกได้ ตอนตีหนึ่งนาฬิกานิดหน่อย ของวันที่ 27 ธันวาคม 2552 ว่าตัวเองเป็นคนเพื่อนน้อยมาก ...

ความจริงสิ่งที่คิดว่าเพิ่งรู้นั้น มันควรจะรู้ตั้งแต่สมัยประถมแล้ว (นี่หว่า)

ฉันมานั่งทบทวนเหตุการณ์เสะเทือนอารมณ์ที่ชี้บ่งชัดว่าตัวเองเป็นคนมีเพื่อนน้อย เช่น

1. ในเฟรนด์ชิพจบป.6 เกินครึ่งเล่ม ทุกคนระบุว่า "ติ๊กดีทุกอย่างนะ ยกเว้นลำเอียง กับเป็นทอม" ...
2. ทุกคนในห้องม.1/1 เชื่อว่าบุหรี่ในกระเป๋านักเรียนนั้น เป็นของฉัน ...
3. ฉันเป็นคนเดียวในชั้น ม.4 ที่ออกนอกโรงเรียนในเวลาเรียนได้ โดยไม่ต้องใช้หนังสือออกนอกโรงเรียนเลย ...
4. มีน้องในสีเหลืองจำนวนมาก เข้าใจว่าฉันเป็นประธานสี ...
5. และมีน้องในชมรมจำนวนไม่น้อย เข้าใจว่าฉันได้เป็นประธานชมรมโดยไม่ชอบธรรม ...

และมีอีกหลายเหตุการณ์ที่ฉันยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด จึงไม่อยากระบุไว้ให้คนอื่นมาตามด่าทอพ่อแม่ทีหลังได้เมื่อมาอ่านบทความเหล่านี้พบ

แค่ข้อ 1-5 นั้น ก็ลดระดับความน่าคบหาของฉันไปมากโขแล้ว และคนที่ตัดสินใจเช่นนั้น ไม่มีใครรู้เลยว่าทั้งหมดเป็นเรื่อง ไม่จริง!!!

ฉันไม่ได้เป็นทอม
ฉันไม่เคยสูบบุหรี่
ฉันใช้หนังสือออกนอกโรงเรียนเสมอ
ฉันไม่ใช่ประธานสี
ฉันไม่เคยอยากเป็นประธานชมรม
และมีอีกหลายอย่างที่ฉันไม่ได้ทำ ไม่อยากทำ ไม่คิดจะทำ แต่ไม่อยากระบุไว้ให้คนอื่นมาตามด่าทอพ่อแม่ทีหลังได้เมื่อมาอ่านบทความเหล่านี้พบ

ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เหนือสิ่งอื่นใดของฉัน นั่นคือการกลับมามองตัวเอง

เราเป็นอย่างนั้นหรือไม่
ส่วนใด สิ่งไหน ที่เป็นสาเหตุ
ความจริงที่เป็น
สิ่งที่เราคิด
สิ่งที่เราทำ
มันสอดคล้อง ขัดแย้ง ชัดเจน บิดเบือน หรือเลือนลาง แตกต่างกันอย่างไร

แต่มันมักจะมีสิ่งหนึ่งที่แว้บเข้ามาในสมองเสมอนั่นคือ ... แล้วคนอื่นล่ะ ใช้อะไรตัดสินเรา

สายตา?
สิ่งที่เห็น?
ประสบการณ์?
ความเชื่อ?
ความคิด?
หรือ อคติ?

ฉันไม่ดูถูกความคิดเห็นใคร แต่ไม่ถูกใจความใจแคบของคน

ถ้าเห็นคนใส่เสื้อสีแดงแล้วตัวดำ ... เราอาจจะขำ แต่ว่า เสื้อตัวนั้น ของใคร ... ของเขานี่หน่า ด่าเขา นินทาเขา เราเกี่ยวอะไรกับเสื้อ กับร่างกายเขา ...

ถ้าคนเสื้อแดงตัวดำคนนั้น เดินเตะหมา ด่าเด็ก ต่อยคนแก่ ฉันอาจจะเดินเข้าไปห้าม ตักเตือน ในฐานะเพื่อนมนุษย์ แต่ถ้าเขาเดินเฉยๆ จะไปไหนซักที่ แค่มันขัดหูขัดตา ... ฉันไม่มีเหตุผลจะไปว่าใคร

และต่อให้เขาเดินมาตบกะโหลกฉันแรงๆหนึ่งที ฉันคงได้แต่ถามว่า "ตบหัวหนูทำไม"

... ความคิดแบบนี้หรือเปล่า ที่ทำให้ฉันมีเพื่อนน้อยจนถึงทุกวันนี้